Menu
Home
About us
Healthcare
Contact us
RECOMMEND Form
Search
ภาวะร่างกายอ่อนเพลีย...ไม่มีแรง เหนื่อยล้า
ในปัจจุบันภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้า (fatigue or loss energy) เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล อาจตรวจไม่เจอสาเหตุด้วยซ้ำ หรือพบว่าผลตรวจสุขภาพประจำปีปกติดี แต่กลับมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้าแบบนี้ ถ้าเกิดในคนสูงอายุก็ยังไม่เท่าไร เพราะอาจเป็นว่าเกิดจากอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าภาวะนี้มาเริ่มเกิดในวัยรุ่นหรือวัยทำงานช่วงอายุ 25- 45 ปี แล้วยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน จากที่เคยแข็งแรงดี ออกกำลังกายเล่นกีฬา เข้ายิมได้ทุกวัน นอนดึกได้ไม่ง่วงซึม กลายเป็นรู้สึกขาดพลังงาน เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายก็บาดเจ็บง่าย นอนไม่หลับหรือถึงนอนมากก็รู้สึกไม่เพียงพอ เริ่มมีภาวะติดชากาแฟ หรืออยากรับประทานแต่อาหารหวานๆ น้ำหนักขึ้นง่าย ภาวะแบบนี้อาจทำให้คนที่เป็นเสียศูนย์ไปเลยก็ได้เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร นั่นก็เพราะในการแพทย์แผนปัจจุบัน เรามองเพียงความผิดปกติของอวัยวะ โดยเน้นมองที่ตัวโรค ถ้าตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติหรือตรวจด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการไม่พบ ก็ถือว่าไม่ใช่โรคและไม่ผิดปกตินั่นเอง
จนแม้ปัจจุบันเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาก้าวหน้าจนมีความทันสมัยอย่างมาก ก็ยังมีศาสตร์ทางการแพทย์แขนงหนึ่งที่มองย้อนกลับไปเน้นที่การดูแลต้นกำเนิดของร่างกายมนุษย์โดยใช้ความรู้พื้นฐานทาง functional medicine โดยเน้นที่การรักษาสมดุลระดับเซลล์ (cell energy balance) ซึ่งในประเทศไทยแพทย์ที่เป็นที่รู้จักทางด้านนี้จะอยู่ในกลุ่มเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) เป็นหลัก
เซลล์ เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกาย ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมในเซลล์และนอกเซลล์จะก่อให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระดับหนึ่ง (ความต่างศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ปกติคือ -70 mV) สิ่งที่ทำให้สมดุลของสิ่งแวดล้อมภายในเซลล์และนอกเซลล์เสียไปก็มาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทั้งอาหารการกินที่มีผลต่อความเป็นกรดด่างของร่างกาย อนุมูลอิสระและสารพิษที่ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เสื่อมสภาพ เมื่อเซลล์เสียความสมดุลไป (cell imbalance) ก็อาจทำให้เราเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ถ้าเซลล์ของเราสามารถกู้สภาวะที่เหมาะสมกลับคืนมาได้ (reversible) เราก็อาจแค่มีอาการผิดปกติเป็นครั้งคราว ตรวจร่างกายอาจไม่พบ ตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไปที่โรงพยาบาลอาจยิ่งไม่พบ เพราะนั่นคือการตรวจความผิดปกติระดับอวัยวะ แต่ถ้าความสมดุลมีการสูญเสียอย่างถาวร (irreversible) ถึงตอนนี้ อาการและโรคทางกายคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใดก็ตาม ภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้านี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายเรื่องของการเสียสมดุลของเซลล์ และยังสามารถดูแลแก้ไขได้ในระยะแรกๆ แต่ถ้าเพิกเฉยเห็นว่าไม่สำคัญ เมื่อปล่อยนานไปก็จะนำไปสู่การเกิดโรค ซึ่งในปัจจุบันโรคที่เรากังวลอย่างมากก็คือ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเรื้อรังอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ วิทยาการทางการแพทย์แผนหลักในปัจจุบันจึงไม่เพียงพอเพราะให้การดูแลรักษาเฉพาะภายนอก ในขณะที่เราจำเป็นจะต้องเข้าไปดูแลรักษากันถึงในระดับเซลล์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งหมด โดยแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยจะเน้นไปที่ปัจจัย 4 ปัจจัยต่อไปนี้
เนื่องจากเซลล์เกิดการสร้างสารพิษและอนุมูลอิสระจากการใช้พลังงาน เซลล์จึงต้องมีระบบกำจัดสารพิษที่ดี
ต้องลดสารพิษ อนุมูลอิสระและเชื้อโรคที่อยู่นอกเซลล์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย
เติมออกซิเจนในร่างกายให้เพียงพอกับที่จะไปเลี้ยงเซลล์
เซลล์ต้องอุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมและให้พลังงานกับเซลล์
เพิ่มประสิทธิภาพให้เซลล์ในการฟื้นฟูตัวเอง
เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งเราสามารถเลือกรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ช่วยเติมความสดชื่นให้กับร่างกายได้ง่ายๆ เช่น
1. เลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตตามินซี
เช่น ส้ม เนื่องจากในส้มมีปริมาณวิตามินซีสูง สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียไปจากความอ่อนล้า ทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย อีกทั้งยังสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
2. การเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
เนื่องจากเมื่อเราป่วย ร่างกายจะดึงโปรตีนจากกล้ามเนื้อไปสร้างเป็นพลังงาน ทำให้เรามีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ผู้ที่ป่วยนานๆ อาจมีน้ำหนักตัวลด ซูบผอม ควรเลือกรับประทาน นม ไข่ ปลา ถั่ว และโฮลเกรน เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายหลังจากการพักฟื้นจากอาการป่วย จะทำให้ร่างกายกลับมาสดชื่นมากยิ่งขึ้น
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
เนื่องจากในช่วงที่เราป่วยร่างกายอาจมีการขับเหงื่อ หรือสูญเสียน้ำในปริมาณมาก เราควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้มีน้ำเข้าไปชดเชยที่ร่างกายเสียไป และน้ำยังมีส่วนช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย
4. การเลือกรับประทานสมุนไพร
เช่นเห็ดหลินจือในช่วงของการพักฟื้น จะช่วยทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ไวขึ้น เนื่องจากเห็ดหลินจือมีสารสำคัญในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้มากขึ้นอีกด้วย